Notes

SRAM พัฒนามาจากทรานซิสเตอร์คุณสมบัติสามารถเก็บรักษาข้อมูลไว้ในหน่วยความจำตราบเท่าที่ยังมีไฟเลี้ยงอยู่ ทำงานได้โดยไม่ต้อง (รีเพรช - Refresh) อยู่ตลอดเวลา
DRAM ต้องมีไฟเลี้ยงตลอดเวลาว DRAM ยังต้องการ การ Refresh ข้อมูลเป็นระยะๆ เสมือนการเตือนความทรงจำ
CDRam
คือ Dram ที่มีความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลสูง และมีการเพิ่มSRamไว้บนชิพเพื่อทำหน้าที่เป็นcache
SDRam
คือ พัฒนามาจากDram เดิม เพื่อแก้ปัญหาAccess time
DDR SDRam
มีการถ่ายโอนข้อมูลทั้งขอบขาขึ้นและขอบขาลงของสัญญาณนาริกา ทำให้มีการถ่ายโอนข้อมูลมากกว่าเดิมสองเท่า
Cache
การเข้าถึงข้อมูลโดยอ้างอิงจากตำแหน่งของข้อมูลที่กำลังเข้าถึงปัจจุบันซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1.Temporal Locality . คาสั่งปัจจุบันที่กาลังถูก Fetch อาจถูกเรียกใช้อีกครั้งในไม่ช้า
2. Spatial Locality . คาสั่งที่อยู่ถัดจากคาสั่งปัจจุบัน อาจจะถูกเรียกใช้อีกครั้งในไม่ช้า
Cache Hit คือ กรณีที่ CPU พบข้อมูลที่ต้องการใน Cache
Cache Miss คือ กรณีที่ CPU ไม่พบข้อมูลที่ต้องการใน Cache
Direct Mapping จะกำหนดหมายเลข Line ที่ตายตัวให้กับ Block ข้อมูล
Mapping วิธีนี้จะกาหนดให้ Address ในหน่วยความจาเป็น 3 Field ได้แก่ Tag, Line และ Word

ส่วนประกอบของ Harddisk
Platter = ส่วนของจานแม่เหล็กบนฮาร์ดดิสก์สามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งสองด้าน ด้านหน้าและด้านหลัง
track = ประกอบด้วย Sector จำนวนมาก ซึ่งมีขนาดเท่ากับ 512 Byte
sector = แทรกที่อยู่ตรงกันของแต่ละPlatter (แต่ละจาน)
cylinder = หัวสำหรับอ่าน/เขียนข้อมูลบนแพลตเตอร์
หลักการทำงานของHarddisk
การทำงานจะอาศัยการส่งกระแสไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโดยที่หัวอ่าน/เขียน จะไม่มีโอกาสสัมผัสกับผิวของแพลตเตอร์แต่อย่างใด เพื่อป้องกันการกระทบกับผิวของแพลตเตอร์ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลบนแผ่นเสียหาย
pipeline คือการทำงานแบบคาบเกี่ยวกัน(overlap) โดยการแบ่งซีพียูออกเป็นส่วนย่อยๆแล้วแบ่งงานกันรับผิดชอบ
ขั้นตอนการประมวลผล สามารถแบ่งเป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้
1.Fetch Instruction (FI) การอ่านขุดคำ สั่งที่จะเข้าสู่การประมวลผล
2.Decode Instruction (DI) การกำหนด opcode และ operand
3.Calculate Operands (CO) การคำนวณผลกระทบที่ต่างๆ
4.Fetch Operands (FO) การ fetch ในแต่ละ operand จากหน่วยความหลัก
5.Execute Instruction (EI) การแสดงการทำงานและเก็บผลที่ได้จากการประมวลผล
6.Write Operand (WO) การเก็บผลที่ได้จากการประมวลผลในหน่วยความจำหลัก
Vector Processing
ใช้สถาปัตยกรรมไปป์ไลน์ที่ประมวลผลแบบเวกเตอร์และเมทริกซ์ทำให้ระบบมีประสิทธิภาพสูง สามารถประมวลผลได้ด้วยคำสั่งเดียว มีรีจิสเตอร์ในตัวที่เรียกว่า เวกเตอร์รีจิสเตอร์ไว้สำหรับเก็บค่าข้อมูลเป็นชุด
หัวอ่าน LMR การบันทึกข้อมูลแบบแนวนอนขั้วแม่เหล็กแทนบิต ‘1’ และบิต ‘0’ จะชี้ไปทางขวาหรือซ้าย
หัวอ่าน PMR การบันทึกข้อมูลแบบแนวตั้งขั้วแม่เหล็กขั้วแม่เหล็กแทนบิต ‘1’ และบิต ‘0’ จะชี้ไปด้านบนหรือล่างแทน

เทคโนโลยี RAID
เป็นแนวคิดที่จะช่วยในการทำงานของHarddisk มีประสิทธิภาพมากขึ้น Raidจะทำงานแบบขนานกันอย่างอิสระ และมีการสำรองข้อมูลเพื่อป้องกันข้อมูลสูญหายเมื่อระบบเกิดปัญหาขึ้น
Raid ระดับ 0
ความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูง แต่ข้อเสียก็คือหาก harddisk ตัวใดตัวหนึ่งเสียหาย จะส่งผลกับข้อมูลทั้งระบบทันที
Raid ระดับ 1
เมื่อฮาร์ดดิสก์ลูกหลักเสียอีกตัวก็จะทำงานแทนทันที ถ้าดิสก์ต้นฉบับและสำรองเสียหายพร้อมกันจะไม่สามารถกู้ข้อมูลคืนมาได้
Raid ระดับ 2
แบ่งข้อมูลออกเป็นบิต(Bit)แล้วนำไปเก็บลงในแต่ละดิสก์
Raid ระดับ 3
คล้ายกับRaid ระดับ 2 แต่จะมี XOR Gate เพิ่มเข้ามาทำหน้าที่คำนวณค่าParityของข้อมูลแต่ละตัว
Raid ระดับ 4
แบ่งข้อมูลออกเป็น Block แล้วนำไปเก็บลงในแต่ละดิสก์ และ XOR Gateจะทำหน้าที่คำนวณค่าParityของข้อมูลแต่ละตัว
Raid ระดับ 5
พัฒนาต่อจากRaid ระดับ 4 นำParityมากระจายอยู่บน Physical diskแต่ละตัว
Raid ระดับ 6
คล้ายRaid ระดับ 5 และเพิ่มค่า Parity อีกหนึ่งชุด