NotesWhat is notes.io?

Notes brand slogan

Notes - notes.io

อุดม แต้พานิช

-


- เวลารถติด เลนอื่นมักไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ
-ถ้าเราขับรถไม่ทันไฟเขียวเป็นคันสุดท้าย ให้คิดว่าเดี๋ยวเราจะได้ไปเป็นคันแรก
-ถ้ามีการแนะนำตัวว่า "นี่เพื่อนฉัน" หมายความว่า"แฟนฉัน"
-ถ้ามีการแนะนำตัวว่า "นี่แฟนฉัน" หมายความว่า"ผัว/เมียฉัน"
-ถ้ามันบอกว่า ช่วงนี้ห่างๆกัน แสดงว่ามันเลิกกันแล้ว
-มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มีเสมอ
-แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของเรา
-เวลาวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เสียงมันมักจะหยุดก่อน เราจะช้าไป 1 ก้าวเสมอ
-ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า เดี๋ยวมันจะคาบไปแด_ก่อน
-เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาแล้ว จะได้เร็วมาก
-ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที
-ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย
-ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากพุ่งไม้,ซอกตึก,อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ
-ไม่มีสัจจะในหมู่นักการเมือง
-ระวังคน ที่แสดงออกว่า มันเป็นคนดีมากๆ
-อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง
-หนังสือดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน
-หนังดี คือหนังที่เราชอบดู
-อยาก ให้คนอื่นรู้เรื่องที่เราแอบนินทาไว้มากๆ
-อย่าลืม ย้ำบ่อยๆว่า "อย่าบอกใครนะ" ถ้าตั้งใจอยากให้ทุกๆคนรู้
-อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างชามจะเสียความรู้สึกมาก
-ให้เรียกยามว่า ซีเคียวรีตี้ หรือการ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถให้เรา
-อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ เพราะมันจะซ่อมไม่ได้ นั้นแหละมันเลยขายให้เรา
-รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝา น้ำมัน มักจะอยู่ทางซ้าย
-ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนก็ต้องมี
-อย่าเข้าใกล้หมา ตอนมันกินข้าว
-ตลาด อตก. ย่อมาจากคำว่า โอเวอร์เรตติ้ง เกินราคาเสมอ
-เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำตัวเองอยู่ด้านไหน
-ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป และคนไม่เยอะ
-คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่า มันเป็นคนดีเสมอไป
-เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย ถ้าเข้าตาแล้วโค-ตะ-ระ แสบ
-ปูอัด มันทำมาจากปลาชัดๆ
-ส่วน กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู
-กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า
-อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อเยอะเกินความจำเป็น
-โลกนี้ จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 อย่างว่า อ้วนขึ้นนะ กับ ผอมลงนะ
-ไม่มีใคร เข้ามาทักคุณว่า ปกติดีนี่ ไปทำอะไรมา
-คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถ มิใช่เพราะบ้านเขาไม่มีที่เก็บ เค้าแค่กลัวคนไม่รู้
-คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลายๆตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเราๆนี่แหละ
-คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ กักขังจินตนาการตัวเองไว้
-ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน
-จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา
-เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง มักจะหาไม่เจอแล้ว
-ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก
-ห้องน้ำผู้หญิงผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต,ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน

วันที่ลงบทความ: 2011-06-24 13:31:25

สายลม แห่งชีวิต
-

-
ย้อน กลับไปเมื่อซัก 10กว่าปีที่แล้ว ณ.หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆแห่งหนึ่ง
ที่ซึ่งชาวบ้านเรียกขานกันว่า ช่องแสมสาร
ลุงสำเริง ไต๋กง เรือลำเล็กๆ ที่คอยพานักดำน้ำหน้าใหม่ออกไปผจญภัย ที่สุดขอบทะเล
กับทุกครั้งที่ผมนั่งดู แกถอนสมอ ผูกเชือกเรือ และก็ดูทิศทางลม
เป็นอยู่อย่างนั้นหลายๆครั้ง ในใจก็นึกอยากจะช่วยลุงแก แต่ก็ยังทำไม่เป็น
จนกระทั่งถึงวันนึง
ผม จึงเอยปากบอกแกว่า "ลุงสอนผมหน่อย"
เท่านั้นแหละครับ ผมขอให้สอนหน่อยเดียว หมายถึงสอนหน่อยเดียวก็ได้
แต่ลุงแกดันให้ผมทำซะทุกอย่าง ตั้งแต่หัวเรือ ยันท้ายเรือเลยที่นี้
แกอ้างว่า "อยากเป็น ต้องทำ ไม่ทำไม่เป็น"
จากวันนั้น ถึงวันนี้10กว่าปีแล้ว ถึงลุงจะเลิกขับเรือไป แต่ผมก็ยังลากแกมาทำหน้าที่เป็น เลขาฯ
ในเวลาที่ผม ออกเรือไปสอนดำน้ำ นักเรียนใหม่ ทุกครั้ง
เราจะขอคำปรึกษา เรื่องลมเรื่องคลื่น กระแสน้ำ และจุดจอดเรือจากแกเสมอ
-

-
แน่นอน ว่า10กว่าปีมานี้
ผมได้วิชา ดูคลื่นดูลมจากลุงแก มาไม่น้อย จะออกเรือไหวหรือไม่ไหว
จุดกำบัง คลื่นลมต่างๆ ลุงพูดเสมอว่า " ทะเลก็เหมือนผู้หญิง ตามอารมณ์ยาก" จริงครับ
บทจะดี ก็ดีแสนดี เรียบสงบ ใสอย่างกับกระจก บทจะร้าย ก็สุดบรรยายเหมือนกัน
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อ ลม กับ ทะเล เค้าเป็นของคู่กัน
ผมเคยถามแกว่า
ถ้าลุงไม่มีเครื่องมือเดินเรือเลย แล้วจะไปยังไง
แกตอบว่า "ไปอย่างที่พ่อของพ่อของพ่อ สอนเอาไว้"
พ่อหัดให้ดูทางคลื่น ทางลม มุมแสงแดด เกาะแก่ง ดวงดาว ทุกอย่างเป็นครูได้หมด
แล้วสอนผมบ้าง ได้มั้ยลุง
-

-
บทที่1 ลมทะเล
ในอ่าวไทยตอนบน
ยามถึงฤดูหนาว ลมหนาวพัดมาจากจีน เราเรียก" ลมใน"บางคนเรียนลม" ตะโก"ลมนี้ไม่แรง
พัดเอาความแห้งแล้ง หนาวเย็นมาจากจีนตอนบน ทำให้น้ำทะเลในอ่าวไทย และอันดามันใสน่าเล่น
พอถึงหน้าร้อน ก็เปลี่ยนเป็น " ลมว่าว" พัดมาทางอีสาน บ้านเฮา คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
นำความร้อน อบอ้าว มาสู่ประเทศไทยของเรา
และเมื่อฤดูกาลเปลี่ยนแปลง
ก่อนจะเข้าหน้าฝน จะมีลม" ตะเภา"(มาจากคำว่า ลมสำเภา) พัดมาทางตะวันออกเฉียงใต้
ลมนี้ในอดีตโบราณ จะพัดพานำเรือสำเภาสินค้ามาจากประเทศจีน ตลอดเส้นทางมีการจอดแวะค้าขาย
ตามเมืองท่าสำคัญ เช่นจันทบุรี จนถึง กรุงศรีอยุธยาฯ
สร้างแหล่งขุดค้น ทางโบราณคดีใต้น้ำ มากมายในปัจจุบัน ตลอดเส้นทางเดินเรือในอดีต
เมื่อเข้าหน้าฝนเต็มที่แล้วกลายเป็นลม" สลาตัน" ลมนี้แรงอันตรายเป็นลมพายุที่มาทางตะวันตกเฉียงใต้
นำความชื้น จากท้องทะเลสู่แผ่นดิน ทำให้สยามเป็น อู่ข้าว-อู่น้ำ มาแต่อดีต
และก่อนจะหมดหน้าฝน ในช่วงท้ายๆฤดู จะมี " ลมตก" พัดโชยๆเข้ามา จากทิศตะวันตกตรงๆ
ลมนี้ก่อให้เกิด ฝนไล่ช้าง หรือ ฝนทิ้งทวนสุดท้าย ตกหนักแต่สั้นๆ
จนเมื่อฤดูกาล หมุนเวียนไปครบวาระ ลมหนาวจากจีน ก็จะแผ่ตัวลงมาอีกครั้ง
-

-
ขยายความ เพิ่มเติม ถ้าเป็นทะเลฝั่งอันดามัน ช่วงในอ่าวพังงา-กระบี่ใน
จะมีลมที่เรียกว่า " หวะป่า" สืบถามจากคนเก่าแก่ ได้ความว่าน่าจะมาจากคำว่า "แหวกป่า"
เพราะพัดมาทาง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แหวกป่ายาง ป่ามะพร้าวเข้ามา
ลมนี้จะแรงมากๆ แต่พัดกระหน่ำในช่วงสั้นๆ
คนเรือหางยาว แถวอ่าวนาง เกาะห้อง เกาะปอดะ กลัวกันมาก เพราะขับเรือได้ยาก
ทะเลเป็น โหลน ในภาษาถิ่น
(โหลน คือ ช่วงคลื่น ขนาดใหญ่ ที่ยังไม่ก่อตัวตั้งสูง เหมือนคลื่นหัวแตก ควบคุมเรือเล็กได้ยาก)
เพิ่มเติม อีกนิดสำหรับ ลมหนาว ชาวบ้านในอ่าวไทยตอนล่าง
แถว ชุมพร-เกาะเต่า กับเรียกว่า " ลมพัทยา" คือ ทิศทางของลมพัดมาจากทางพัทยานั้นเอง
ส่วนชาวเรือ ฝั่งอันดามันเรียก ลมหนาว อันเดียวกันนี้ว่า " ลมหัวนอน"
คือพัดมาทางทิศหัวนอน
ชาวเรือทางภาคใต้ มีความเชื่อที่จะหันหัวนอน ไปทางทิศเหนือ
ภูมิปัญญาของชาวบ้าน แต่ในละท้องถิ่น สะท้อนวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ความเชื่อ
ประยุกต์เพื่อ เอาตัวรอด ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว
หากวันนี้ธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆชาวบ้านเหล่านี้ จะปรับตัวและเอาตัวรอดได้หรือไม่
ฤดูกาล ของชาวประมง หมุนเวียนส่งผ่านความรู้ จากรุ่นสู่รุ่น
จนกระทั้งถึงวันนี้ วันที่โลกของเราร้อนขึ้นมาก
ลุงสำเริง จันทร์หนู แกบอกผมว่า "ลุงก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน"
-
วันที่ลงบทความ: 2011-07-05 11:10:55


ความเร็ว

ว่าด้วยเรื่องของการวัดความเร็วเรือ เครื่องบิน และกระแสน้ำ
-

-
ความเร็วเรือ และกระแสน้ำ
เราวัดความเร็วของเรือ และกระแสน้ำ เป็น knot(นอต)ครับ เทียบหน่วยได้ดังนี้
วัตถุที่มีความเร็ว 1 นอต(Knot) จะเคลื่อนที่ไปได้ระยะทาง 1 ไมล์ทะเล(nautical mile) หรือ 1.852 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั้นเอง
ซึ่ง ไมล์ทะเล กับไมล์บก นั้นก็แตกต่างกันอีก กล่าวคือ ไมล์ทะเลอ้างอิงมาจาก เส้นรุ้ง กับเส้นแวง ที่ตัดกันเป็นตารางบนโลก ส่วน ไมล์บก(=1.609 กิโลเมตร) ฝรั่งเศษ และอเมริการนำมากำหนดใช้ จนแพร่หลายในบางประเทศ
เรือที่พวกเราใช้ออกไปดำน้ำที่ฝั่งอันดามัน หรือที่เรียกกันว่าเรือ Liveaboard นั้นทั่วไปมีความเร็วเดินทาง 7-8 นอต แต่ก็อีกละครับ ชาวเรือบ้านเรา นิยมเรียกว่าความเร็ว 7-8 ไมล์/ชม. แทนที่จะเรียก 7-8นอต/ชม.....
ส่วนเรือ ที่แสมสารหรือที่พัทยา ที่ออกไปดำน้ำกัน อัดเต็มที่ก็ 5 นอตครับ
เรือรบ และเรือตรวจการณ์ยามฝั่ง อาจทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 30 นอต แต่ถ้าสปีดโบ๊ทอาจถึง 40นอต
กระแสน้ำ ที่สัตหีบ-แสมสาร ถ้าเรามีความรู้ในการอ่านแผนที่เดินเรือสากล ในนั้นจะระบุไว้ตามโซน ตามพื้นที่ต่างๆ เฉลี่ย 2-4นอต (วัดในช่วงเวลาที่กระแสไหลสูงสุด) ส่วนอันดามัน 1-3นอต ครับ อาจจะมีบางพื้นที่จริงๆที่กระแสไหลแรงมากเพราะอยู่ระหว่างเกาะสองเกาะที่บีบตัวคล้ายช่องเขา เช่น ที่จุดเรือจม Hardeep(สุธาทิพย์)
อาจไหลได้เร็วถึง 4-5นอต ในบางช่วงเวลาของปี(ในหน้าน้ำเกิด)
-

Boeing 787 Dreamliner (subsonic 0.85 Mach)
ความเร็วของเครื่องบิน
เราก็วัดเป็น นอต(Knot) เช่นเดียวกันครับ แต่เนื่องจากความเร็วของเครื่องบินนั้นสูงมาก(หลายๆนอต)
จึงได้มีการนำเอาความเร็วของเสียงมาใช้ร่วมด้วย เพื่อให้ง่าย และแม่นยำขึ้นอีก
กล่าวคือความเร็วเท่าเสียงจะมีค่าเท่ากับ 1 มัค (mach/ISA/SL) คือเป็นความเร็วของเสียงพอดี (1 speed of sound) คิดเป็นอัตราความเร็วที่ 1225.05588 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั้นเอง
เครื่องบิน โดยสารทั่วไป จะใช้ความเร็วในการเดินทาง เมื่อไต่ถึงเพดานบินระดับแล้ว เฉลี่ยที่ 0.74-0.85 มัค ความสูงอยู่ระหว่าง 25000-42000 ฟิต แล้วแต่ชนิดเครื่อง และระยะทาง ครับ
เริ่มต้นจากเมื่อเครื่อง Take off ขึ้นจาก Run-way แล้ว เริ่มไต่เพดานบินให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเพดานบินยังไม่ถึง 10000 ฟิต(ประมาณ 3.3 กม.) นักบินห้ามใช้ความเร็วเกิน 250 นอต(Knot)ครับ เนื่องจากจะทำให้เกิดเสียงที่ดังมากจากเครื่องยนต์ กระทบบ้านเรือนประชาชนได้ อีกทั้งที่ความสูงระหว่าง 0-10000 ฟิตแรก อากาศมีความหนาแน่นสูง โอกาสที่เครื่องยนต์จะทำความเร็วทะลุกำแพงเสียงนั้นทำได้ง่ายมาก นักบินจึงต้องระวังอย่างมาก ต่อเมื่อเครื่องบินไต่ระดับสูงเกินกว่า 10000 ฟิตไปแล้ว จึงสามารถเพิ่มความเร็วของเครื่องได้อีก 250-280 นอต(Knot) และเมื่อเครื่องไต่ระดับขึ้นไปที่ความสูงเกิน 25000 ฟิตแล้ว นักบินจะเปลี่ยนหน่วยวัดความเร็วของเครื่องไปเป็น หน่วยมัค(mach) เพื่อให้ง่าย และถูกต้องแม่นยำกว่า
ส่วนเครื่องบินรบ มีความสามารถบินให้ช้า หรือเร็วกว่าเสียงก็ได้ เช่น 1.5 มัค (คือเร็วกว่าเสียง 1.5เท่า) เป็นต้น
โดยช่วงที่กำลังจะทะลุ กำแพงเสียง(ความเร็วเท่าเสียง)นั้นจะเกิด Shock Wave และ Sonic Boom ขึ้น ซึ่งถ้าโครงสร้างของเครื่องบินไม่แข็งแรงพอ จะฉีกขาด และระเบิดออกได้ ดังนั้น เครื่องบินโดยสารพาณิชย์ส่วนใหญ่ จึงไม่ได้ออกแบบให้บินเร็วกว่าเสียงนั้นเอง เนื่องจากต้นทุนการสร้าง และจะสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมาก
-


Sonic Boom ที่ความเร็ว 1228 กิโลเมตร/ชั่งโมง ช้ากว่าเสียง เท่าเสียง เร็วกว่าเสียง
-
ความเร็วรถยนต์
นิยมวัดกัน เป็นกิโลเมตร ต่อ ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่จะมีที่ต้องปวดหัว ถ้าหากดันวัดเป็น
ไมล์ บก (statute mile) ซึ่งต่างกับ ไมล์ทะเล (nautical mile) อีก
1 ไมล์บก จะเท่ากับ 1.609 กิโลเมตรนั่นเอง(นิยมปัดเป็น 1.6 กิโลเมตร)
--

-
ที่มา-ที่ไป
ระบบ ไมล์(และไมล์ทะเล)นี้เป็นมาตรวัดของทางฝรั่งเศษครับ เริ่มใช้ในสมัยที่ฝรั่งเศษออกล่าอาณานิคมและบังคับให้ประเทศในอาณานิคมของฝรั่งเศษใช้เหมือนกันด้วย ส่วนทางด้านฝั่งอังกฤษไม่ชอบที่จะทำตามใครเนื่องจากคิดว่าตัวเองนั้นก็เป็นหนึ่งเหมือนๆกันแถม
มีอาณานิคมอยู่รอบโลกมากกว่าด้วย จึงคิดมาตรวัดของตัวเองขึ้นมาคือระบบเมตร(เมตริก) ส่วนประเทศไทยนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างอาณานิคมของอังกฤษ และฝรั่งเศษ จึงเอามาใช้ปนกันมั่ว เช่น รอบ-อก วัดเป็นนิ้ว แต่ความสูง วัดเป็นเซ็นติเมตร ซึ่งเราได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆคงคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ลองมาคิดกันเล่นๆสิครับว่าถ้าเราเป็นวิศวกรจะสร้างบ้านหลังนึง ซื้อไม้มาท่อนนึงหน้ากว้างสามนิ้ว หนาหนึ่งนิ้ว ยาวห้าเมตร ไม้ท่อนนี้จะมีปริมตรเท่าไหร่ แล้วจะหาความหนาแน่นได้อย่างไร ต้องแปลงหน่วย งงไปกันใหญ่อีก
l
l
ส่วนความเร็วของ เจ้าตัวนี้ วัดเป็นหน่วยอะไรดีครับ
-

--
หากบทความนี้ ได้สร้างประโยชน์อันเกิดขึ้น ข้าพเจ้าขออุทิศ และระลึกถึง
คุณลุงสุพจน์ กำเนิดศิริ อดีตนักดำน้ำ สมาชิกของชมรมฯ และอดีตนักบิน เครื่องขับไล่ F5 รุ่นแรกของประเทศไทย
ที่ได้นั่ง เสาวนากับ ข้าพเจ้าถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ

วันที่ลงบทความ: 2011-07-01 21:13:54

ที่มาของบทความ: ชมรมฯดำน้ำลาดตระเวน Recon Diver Club ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใช้เพื่อการศึกษา

Nitrox & Enriched Air

Enriched Air หรือ NITROX คืออะไร จำเป็นต่อการดำน้ำหรือไม่

ทราบ หรือไม่ว่าหลักสูตร PADI Enriched Air เป็นหลักสูตรที่มีนักดำน้ำนิยมเรียนกันมากที่สุด
เพราะอากาศแบบ Nitrox นั้นช่วยให้นักดำน้ำมีเวลาอยู่ใต้น้ำได้นานขึ้นกว่าการใช้อากาศแบบธรรมดา
ที่ความลึกเดียวกัน (แต่ต้องไม่เกิน 25เมตร) เหมาะกับกลุ่มที่ต้องการอยู่ใต้น้ำนานๆ
เช่น การถ่ายรูป-วิดีโอใต้น้ำ
ในรายละเอียดของหลักสูตรนั้น นำเสนอเกี่ยวกับ
enriched air หรือ nitrox คืออะไร ผสมจากอะไร เป็นคุณเป็นโทษต่อร่างกายหรือไม่
ตารางดำน้ำแบบ EAD, EANx32, EANx36 และอุปกรณ์ที่ใช้กับอากาศพิเศษนี้
การป้องกัน และปัญหาที่เกิดจากอาการ ออกซิเจน เป็นพิษ
oxygen exposure,การตรวจวิเคราะห์ปริมาณของออกซิเจนในถังอากาศผสมพิเศษ
Dive computer และการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
การออกดำน้ำจริงด้วยอากาศผสมพิเศษจำนวน 2Dive
การฝึกใช้อุปกรณ์พิเศษและตารางการวางแผนการดำน้ำที่พิเศษไปจากการดำน้ำโดยใช้อากาศธรรมดา
-
ในหลักสูตร PADI Enriched Air Diver 2010 ได้มีการนำเอาไดฟ์คอมพิวเตอร์เข้ามาแทนที่
การวางแผนดำน้ำโดยใช้ตารางแบบเดิม เช่นตารางEAD, EANx32, EANx36
เพราะฉะนั้น การเรียนหลักสูตรนี้ จึงง่ายขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น โดยที่นักเรียน
ก็ต้องมีไดฟ์คอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง(เสียเงินอีกแล้ว)
(ต้องซื้อ หรือเช่า เป็นแพคเกจร่วมกับหลักสูตรPADI Enriched Air Diver)
-
ความจริง อากาศแบบผสมพิเศษนี้ เดิมที่เดียวถูกพัฒนาขึ้นเพิ่มใช้สำหรับการดำน้ำที่ลึกมากๆ
แบบติด Decom นักดำน้ำจะเปลี่ยนมาหายใจด้วย Nitrox นี้เมื่อกลับขึ้นมา และเข้าใกล้ผิวน้ำแล้ว
คือ 25-0 เมตร เพื่อลดการดูดซึมไนโตรเจนลง และเพื่อป้องกันการหมดสติ ก่อนถึงผิวน้ำ
โดยที่ อากาศผสมพิเศษนี้ จะเอาลงไปหายใจที่ความลึกมากๆเกินกว่า 25เมตรไม่ได้
เนื่องจากออกซิเจน จะเป็นพิษต่อร่างกาย ที่ความลึก

สรุป หลายๆท่านเข้าใจผิดว่า อากาศแบบ Nitrox นี้จะช่วยให้ดำได้ ลึกกว่า นานกว่า
ที่นานกว่า อาจจะใช่ แต่ก็ต้องไม่ลึกเกิน 25เมตรนะครับ
ส่วนที่บอกว่า ดำได้ลึกกว่านั้น ไม่ใช่ แน่นอนครับ
เคยมีรายงานว่า นักดำน้ำเอาอากาศผสมพิเศษ EANx32 ดำลงไปดูปลาโมลา-โมล่า(Sun Fish) ที่บาหลี
ลงไปที่ความลึก 45 เมตร และเมื่อกลับขึ้นมาบนผิวน้ำแล้ว มีอาการแสบไหม้ที่หน้าอก การดำน้ำลงไป 45เมตร
นั้นก็นับว่าเสี่ยงมากแล้ว แถมยังเอา EANx32(ออกซิเจน32%) ลงไปอีก
ถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายท่านคงเข้าใจแล้วว่า Nitrox หรือ Enriched Air นั้นก็มีดี มีโทษ ขึ้นกับว่าเราใช้เป็นหรือไม่
-
หมายเหตุ ทำไมเรียก Nitrox ถ้ามีออกซิเจนผสมอยู่ถึงระดับสูงสุด คือ 40% เรานิยมเรียกว่า Nitrox Tank
แต่ถ้าผสมออกซิเจนต่ำกว่า 40% ลงไป นิยมเรียกว่า Enriched Air Tank ครับ
-

วันที่ลงบทความ: 2011-06-27 07:44:16

โรคแพนิค (Panic Disorder/inFomental)
-- -
อาการแพนิค ในทางการแพทย์ถือเป็น โรคชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีคนเป็นกันมาก และเป็นกันมานานแล้ว(บนบก) แต่ประชาชนทั่วไปมักไม่ค่อยรู้จัก
และยังไม่มีชื่อโรคอย่างเป็นทางการในภาษาไทย
แพทย์บางท่าน อาจเรียกโรคนี้ว่า "หัวใจอ่อน" หรือ "ประสาทลงหัวใจ"
ความจริงแล้วโรคนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโรคหัวใจเลย เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไรที่หัวใจ
หากแต่เป็นสภาพทางจิตและ ไม่มีอันตราย ถ้าเกิดบนบก
แต่ จะส่งผลร้ายแรงอย่างยิ่งเมื่อเกิดอาการขึ้นในขณะดำน้ำ
เนื่องจาก จะทำให้นักดำน้ำ จมน้ำตาย นั้นเอง

เพราะเมื่ออาการกำเริบจากความกลัว หรือเพราะผลจากความลึก ที่ทำให้เกิดแรงบีบกดร่างกาย
และผลจากการหายใจที่ความลึก อากาศมีความหนาแน่นมากจึงหนัก ยากแก่การหายใจ
ผู้ป่วย จะรู้สึกใจสั่นหัวใจเต้นแรง อึดอัด แน่นหน้าอก หายใจไม่ทัน
มีความรู้สึกเหมือน Regulator ไม่จ่ายอากาศ
หายใจได้ไม่เต็มอิ่ม ขาสั่น มือสั่น มือเย็น บางคนจะมีอาการวิงเวียนหรือมึนศีรษะ
ท้องไส้ปั่นป่วน และหมดสติ ใน ขณะที่มีอาการผู้ป่วยมักจะรู้สึกกลัวมากจนไม่สนองตอบต่อคำสั่ง
-

-
โดยที่ส่วนใหญ่ผู้ป่วย โรคแพนิค
จะกลัวว่าตัวเองกำลังจะตาย กลัวว่าตัวเองกำลังจะหมดสติแล้ว
บางคนกลัวว่า ตนกำลังจะเสียการควบคุมตัวเอง อาการต่างๆ
มักเกิดขึ้นทันที และค่อย ๆ พัฒนาความหลอนรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ
จนเต็มที่ในเวลาประมาณ 10 นาที คงอยู่สักระยะหนึ่ง แล้วค่อยๆ ทุเลาลง
ในขณะนั้นถ้าเราพบเห็นนักดำน้ำที่มีอาการสั่นกลัว อาจให้ความช่วยเหลือได้โดยการ
พาขึ้นสู่ที่ตื้นอย่างช้าๆ จับมือผู้ป่วยไว้ให้แน่น เสมือนว่าเค้าปลอดภัยแล้วที่เจอเรา
การพาผู้ป่วยขึ้นสู่ที่ตื้นนั้น เป็นการปรับลดความกด และแรงดันของระบบลง ซึ่งจะช่วยได้มากๆ
นักดำน้ำจะรู้สึกหายใจได้ง่ายขึ้น สบายตัวขึ้น เพราะแรงกดดัน ลดลงนั้นเอง
ข้อควรระวังอย่างยิ่ง ในรายที่ดิ้นรนรุ่นแรงควรเข้าด้านหลัง
หรือคุณควรมีความรู้ในระดับ Rescue แล้วเท่านั้น
อาการมักจะหายหรือเกือบหาย ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
ภายหลังจากอาการแพนิคผ่านพ้นไปแล้ว ผู้ป่วยมักจะอ่อนเพลียมาก
และแม้แต่ในช่วงที่ไม่มีอาการ ผู้ป่วยก็มักจะกังวลกลัวว่าจะเป็นอีก ซ้ำๆจนเสียสุขภาพจิต
-

-
อาการ โรคแพนิค จะเกิดที่ไหนเมื่อไรก็ได้ และคาดเดาได้ยาก
ผู้ป่วยมักพยายามสังเกตุ และเชื่อมโยงหาเหตุผล ที่กระตุ้นให้เกิดอาการกันไปต่างๆ
เผื่อที่ตนเองจะได้สร้างเงื่อนไขทางจิตในการหลีกเลี่ยง และรู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้
เช่น ผู้ป่วยบางราย ไปเกิดอาการขณะขับรถขึ้นที่สูงก็จะไม่กล้าขับรถขึ้นที่สูงนั้นอีก
จึงสร้างเงื่อนไขว่า ตราบใดที่ไม่ขับรถขึ้นที่สูงก็จะไม่เป็นไร เป็นต้น
บางรายเกิดอาการขณะดำเรือจม ก็จะตั้งเงื่อนไขว่า ถ้าไม่ดำเรือจมก็จะไม่เป็นไร
ผู้ป่วยบางรายไม่กล้าดำน้ำคนเดียว หรือไม่กล้าอยู่คนเดียว บางคนไม่กล้าดำลงไปลึกๆ
เพราะกลัวว่าจะเกิดอาการขึ้นมาอีก แล้วจะไม่มีใครช่วยได้
ในบางรายอาจมีเหตุกระตุ้นจริงๆบางอย่างได้ เช่นการออกกำลังหนักๆ
หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน
เช่น กาแฟ ชา น้ำโคล่า ฉะนั้นในการดำน้ำควรหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆเหล่านี้
-
--
ขณะเกิดอาการ ผู้ป่วย โรคแพนิค มักกลัว จากนั้นจึงค่อยไปพบแพทย์ในภายหลัง
ซึ่งแพทย์ก็มักตรวจไม่พบความผิดปกติ
และมักได้รับการสรุปว่าเป็นอาการเครียด หรือคิดมากไปเอง
ซึ่งผู้ป่วยก็มักยอมรับไม่ได้ และปฏิเสธว่าไม่ได้เครียด เมื่อเกิดอาการอีกในครั้งต่อมา
ผู้ป่วยก็จะไปโรงพยาบาลอื่นและมักได้คำตอบแบบเดียวกัน ผู้ป่วย โรคแพนิค หลาย ๆ ราย
ไปปรึกษาแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพ โดยเฉพาะหัวใจซึ่งก็มักได้รับการตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียด
แต่ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ที่สามารถอธิบายอาการดังกล่าวได้
-
ซึ่งก็ยิ่งทำให้ผู้ป่วยกังวลมากขึ้นไปอีก
อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเรียกว่า อาการแพนิค (panic attack) ซึ่งแปลว่า "ตื่นตระหนก"
เพราะการที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังเป็นอะไร จะยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกให้รุนแรงขึ้น
นักดำน้ำหลายท่าน เลิกดำน้ำไปเลย เพราะกลัว
-

-
อาการแพนิค ไม่มีอันตราย อาการนี้ทำให้เกิดความไม่สบายเท่านั้นแต่ ไม่มีอันตราย
สังเกตุได้จากการที่ผู้ป่วยมักจะ มีอาการมานาน บางคนเป็นมาหลายปี
เกิดอาการแพนิคมาเป็นร้อยครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักที
-
ในปัจจุบันเรา ทางการแพทย์เราพอจะทราบว่าผู้ป่วย โรคแพนิค
มีปัญหาในการทำงานของสมองส่วนที่ทำให้เกิดอาการ “ตื่นตระหนก”
โดยเป็น ความผิดปกติของสารสื่อนำประสาทบางอย่าง
เราจึงสามารถรักษาโรคนี้ได้ด้วยยา
ยาที่ใช้รักษา โรคแพนิค จะมี 2 กลุ่ม คือ

1. ยาป้องกัน (ในรายที่เป็นมาก) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า
ปรับยาครั้งหนึ่งต้องรอ 2-3 สัปดาห์
จึงจะเริ่มเห็นผล คืออาการแพนิค จะห่างลง และเมื่อเป็นขึ้นมาอาการก็จะเบาลงด้วย
เมื่อยาออกฤทธิ์เต็มที่ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพนิคเกิดขึ้นอีกเลย
ยากลุ่มนี้จะเป็นยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าบางตัว เช่น เล็กซาโปร (lexapro)
โปรแซก (prozac) โซลอฟ (zoloft) ยากลุ่มนี้ไม่ทำให้เกิดการติดยา
และสามารถหยุดยาได้เมื่อโรคหาย ในการรักษาด้วยยาเราจะจ่ายทั้ง ยาป้องกัน และยาแก้

เพราะในช่วงแรก ๆ ยาป้องกันยังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยจะยังมีอาการ
จึงยังต้องใช้ยาแก้อยู่ เมื่อยาป้องกันเริ่มออกฤทธิ์ผู้ป่วยจะกินยาแก้น้อยลงเอง
แพทย์จะค่อยๆเพิ่มยาป้องกันจนผู้ป่วย "หายสนิท" คือไม่มีอาการเลย
แล้วให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อไปเป็นเวลา 8-12 เดือน
หลังจากนั้นจะให้ผู้ป่วยค่อยๆ หยุดยา ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะสามารถหยุดยาได้
โดยไม่มีอาการกลับมาอีก แต่ก็มีบางรายที่มีอาการอีกเมื่อลดยาลง
ในกรณีแบบนี้เราจะเพิ่มยากลับขึ้นไปใหม่แล้วค่อย ๆ ลดยาลงช้า ๆ
-

-
2. ยาแก้ เป็นยาที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้เฉพาะเมื่อเกิดอาการขึ้นมา เป็นทีกินที กินแล้วหายเร็ว
ได้แก่ยาที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามของยา “กล่อมประสาท” หรือยา “คลายกังวล”
เช่น แวเลี่ยม (valium) แซแนก (xanax) และอะติแวน (ativan)
ซึ่งยาประเภทนี้มีความปลอดภัยสูง(แปลว่าไม่มีพิษ ไม่ทำลายตับ ไม่ทำลายไต)
แต่ถ้ารับประทาน ติดต่อกันนานๆ (2-3 สัปดาห์ขึ้นไป) จะเกิดการติดยาและเลิกยาก
และเมื่อหยุดยากระทันหันจะเกิดอาการขาดยา ซึ่งจะมีอาการเหมือนอาการแพนิค
ทำให้แยกแยะไม่ได้ว่าหายหรือยัง ดังนั้นแพทย์จะเน้นกับผู้ป่วยว่าให้กินเฉพาะเมื่อมีอาการเท่านั้น
ยังไม่เป็นห้ามกิน รอให้เริ่มมีอาการแล้วค่อยกินก็ทันเพราะมันออกฤทธิ์เร็ว
-

-
การป้องกันในระยะยาว ง่ายถึงง่ายที่สุด คือการออกกำลังกาย จนสุขภาพร่างกายแข็งแรง
งดเหล้า บุหรี่ และสารกระตุ้นต่างๆ
เริ่มต้นดำน้ำอีกครั้ง ในน้ำที่ใสสะอาด และไม่ลึกมากนัก
เพื่อเป็นการค่อยๆสร้างความเชื่อมั่น ให้กับตนเองกลับมาอีกครั้ง
-
ท้ายนี้หวังว่า บทความเรื่องนี้ คงตอบโจทย์
และ คลายปมปัญหาของใครหลายคน ที่เป็นนักดำน้ำ ทั้งมือใหม่มือเก่า
อาการ Panic นี้ ถูกพูดถึงกันมามาก โดยประสบการณ์ส่วนตัวของผมแล้ว
โรค Panic นี้สามารถเกิดได้กับ นักดำน้ำทุกวัย
ทั้งมือเก่า และมือใหม่ ถ้าคุณเป็นคนป่วย และอยากหายป่วยลองทำใจให้สบาย
ทำความเข้าใจถึงสาเหตุ และอาการของมัน พยายามกลับไปทำซ้ำในสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้
อย่างเป็นระบบมีการเตรียมการ และการวางแผนที่ดี
การดำน้ำกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆช่วยคุณได้ ลองเล่าความจริงให้เพื่อนฟังอย่าอาย
และลองให้เพื่อนจูงมือคุณแน่นๆขณะดำน้ำ จะสามารถช่วยคุณได้มากๆ

วันที่ลงบทความ: 2011-09-01 14:36:31

กระแสน้ำในมหาสมุทร Ocean Belt
-

Ocean Belt ในยุคปัจจุบัน
-
ในห้วงความลึกของน้ำในมหาสมุทรนั้น
เราสามารถแบ่งออกเป็นชั้นๆตามความลึกได้ดังนี้(แบ่งตามมวล และคุณสมบัติ)
-
1.มวลน้ำผิวหน้า (Surface water) มีความลึกไม่เกิน 100 เมตร
2.มวลกลางน้ำ (Central water) (ความลึกไม่เลยชั้น Main thermoclineที่500เมตร) อยู่ระหว่าง 100-500 เมตร
3.มวลน้ำปานกลาง (Intermediate water) มีความลึกระหว่าง 500 เมตร จนถึง 3000 เมตร
4.มวลน้ำลึกและก้นสมุทร (Deep and Bottom water) อยู่ในระดับที่ลึกมาก ลึกลงไปจาก 3000 เมตร จนถึงก้นของแอ่งสมุทร(Ocean basins)
-
เรานำเอาคุณสมบัติต่างๆ ของมวลน้ำนี้ มาใช้แบ่งชั้นความลึกทางสมุทรศาสตร์นั้นเอง
ทั้งหมดก็เพื่อนำมาใช้อธิบาย การเกิดกระแสน้ำในรูปแบบต่างๆ กล่าวคือ
-
1.กระแสน้ำ ที่เกิดอยู่บนผิวหน้ามหาสมุทร 0-100 เมตร (Surface current)
ปัจจัย ที่ทำให้เกิดกระแสน้ำที่บนผิวหน้า มหาสมุทร ซึ่งมีลักษณะการไหลไปมา ได้แก่ ผิวน้ำทะเลในแต่ละที่ ได้รับความร้อน
จากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากันจึงเกิดการเคลื่อนตัวของ มวลน้ำที่เย็นกว่า ไหลไปทดแทน มวลน้ำร้อนบนผิวหน้า
ตลอดจน ลมประจำถิ่นที่พัดพา ทำให้ผิวน้ำเคลื่อนที่ได้อีกด้วย
ลักษณะรูปร่างของชายฝั่ง รูปร่างแผ่นดิน เกาะแก่งต่างๆ และแรงที่โลกหมุนรอบตัวเอง( แรงเสมือน Coriolis forcs) วงโคจรของพระจันทร์ ก็ล้วนส่งผลต่อการเคลื่อนตัว และกระแสบนผิวน้ำทั้งสิ้น

ขยายความ กล่าวคือน้ำที่บริเวณใกล้ ๆ เส้นศูนย์สูตร ได้รับความร้อนมากกว่าบริเวณอื่นจึงมีมวลที่เบา และลอยตัวขึ้นสูงสู่ผิวหน้าและแพร่ขยายออก ในขณะที่น้ำบริเวณใกล้ ๆ ขั้วโลกทั้งสองด้านได้รับความร้อนน้อยมากจึงเย็น ประกอบกับแผ่นน้ำแข็งที่ทำตัวเปรียบเสมือนตู้เย็นของโลก น้ำทะเลจึงเย็นจัด และจมตัวลึกลงไป ทำให้มวลน้ำทั้งโลกถูกขับเคลื่อน

-


-

น้ำที่ไหลจากเขตร้อน เข้าใกล้เขตหนาวเรียกว่า กระแสน้ำอุ่น และจากเขตหนาวเข้าใกล้เขตร้อนเรียกว่า กระแสน้ำเย็น ในกรณีแรกน้ำจะค่อย ๆ เย็นลงและหนักขึ้น ส่วนในกรณีที่สองน้ำที่จะค่อย ๆ อุ่นขึ้นและเบาลง มีผลให้เกิด Convection cell ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกระแสน้ำในโลกนั้นเอง
- -
ผนวกกับ ลมประจำถิ่น ที่พัดอยู่เหนือผิวน้ำ ก็เป็นอีกปัจจัย ที่ช่วยทำให้เกิดกระแสน้ำบนผิวหน้า เมื่อลมพัดผิวหน้าของน้ำจะเกิดคลื่น และการเคลื่อนที่ ถ้าไม่มีแรงภายนอกอื่นใด หรือสิ่งกีดขวางเช่นเกาะ หรือแผ่นดิน มากีดขวาง น้ำจะไหลตามทิศทางของลม สมมติว่าผิวโลกปกคลุมไปด้วยน้ำทั้งหมด ไม่มีแผ่นดินเลย การหมุนเวียนของผิวน้ำก็จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสลมโดยสิ้นเชิง


2.กระแสน้ำผุด คือมวลน้ำเย็นที่ผุดขึ้นมาจากความลึกเบื้องล่าง (Upwelling)
-


-

คือกระบวนการที่น้ำเย็นเบื้องล่างถูกพัดพาขึ้นมาสู่เบื้องบน ถ้ายึดถือตามคำจำกัดความนี้เป็นหลัก จะเห็นว่าเป็นการเคลื่อนที่ของน้ำในแนวดิ่งนั่นเอง(Vertical motions) ในธรรมชาติของน้ำทะเลที่เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุประกอบกัน เช่น ความหนาแน่นของน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะความร้อน อำนาจของลม กระแสน้ำประจำถิ่นที่ไหลเข้าปะทะกับหน้าผาของไหล่เกาะ ไหล่ทวีป (เช่นที่ ประเทศ Palau เป็นต้น) บางครั้ง กระแสน้ำที่ไหลขนานชายฝั่ง ดึงเอาแผ่นน้ำผิวหน้าเคลื่อนที่ออกไป น้ำเย็นด้านล่างก็เลยผุดขึ้นมาแทนที่ได้เช่นกัน
-
3.กระแสน้ำลึก (Deep Cerrent)

-

-

เมื่อมวลน้ำ เย็นตัวลง และจมดิ่งลงสู่ห้วงความลึก เกิดการผลักดัน การไหลของน้ำทั้งโลก (ในการศึกษาเกี่ยวกับการไหลเวียนของน้ำในระดับลึก ๆ โดย Count Rumfrd ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้น้ำไหลว่า) เนื่องมาจากการเย็นตัวของน้ำในแถบขั้วโลกทั้งสองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว กล่าวคือ เมื่อน้ำเย็นตัวลงจะหนักขึ้นแล้วจมตัวลงสู่เบื้องล่างแล้วไหลแพร่ไปปกคลุมพื้นมหาสมุทรโดยทั่วไป ความเร็วของการไหล ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของน้ำนั้น ในขณะเดียวกัน น้ำบริเวณเส้นศูนย์สูตรจะได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากกว่าจึงเบากว่า และไหลไปบนผิวหน้า แทนที่น้ำที่จมลงในแถบขั้วโลกทั้งสอง ทั้งหมดนี้ได้ช่วยกันขับเคลื่อนสิ่งที่เราเรียกว่า สายพานมหาสมุทร หรือ Ocean Belt ซึ่งให้ประโยชน์ในการนำพาสารอาหาร และช่วยให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลกเราของเรา เมื่อหลายล้านปีก่อนนั้นเอง
-

แบบจำลอง Ocean Belt ในยุคหลายพันล้านปีก่อน
-
สำหรับ บาหลี คือจุดตัดที่ สายพานมหาสมุทร สองสายคือ ร้อน กับ เย็น ไหลพัดผ่านมาตัดกัน ( กระแสน้ำอุ่นแปซิฟิกใต้ กับ กระแสน้ำเย็นออสเตรเลียเหนือ ) จึงเกิดความแปรปรวนในห้วงน้ำเป็นอย่างมาก มีสารอาหารมากมายให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งที่เขตน้ำตื้น และน้ำลึก และยังก่อให้ เกิดกระแสน้ำ ที่เป็นลักษณะพิเศษเฉพาะ ขึ้นที่นี่ คือ
1. Down Cerrent กระแสน้ำม้วนตัวไหลวน ดูดลง มีทิศทางการหมุน รอบแกนในแนวนอน(เหมือนเครื่องซักผ้า ฝาหน้า)
2 .Washing Machine กระแสน้ำหมุนวนรอบ ดูดลง มีทิศทางการหมุน รอบแกนในแนวตั้ง(เหมือนเครื่องซักผ้า ฝาบน)
3. Surge กระแสน้ำแบบแกว่งตัวตาม ระยะ1ช่วงคลื่น ยิ่งช่วงคลื่นใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ Surge ก็จะรุนแรงตาม
ซึ่งลักษณะพิเศษของการเกิดกระแสน้ำทั้งสามแบบนี้ สามารถพบได้เป็นปกติประจำของ ทะเลบาหลี แหล่งดู ปลาโมลาโมล่าของเรานั้นเอง ซึ่งการดำน้ำที่นี่ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
-

แผนที่ จุดดำน้ำ ที่อ่าวคริสตัล เบย์ จุดดำดูปลาโมลาโมล่า ที่กระแสน้ำไหลเชี่ยวรุนแรง


ปลาโมลาโมล่า หรือ Sun Fish
-
ขยายความต่อเนื่อง การเกิดกระแสน้ำในลักษณะพิเศษทั้ง 3 รูปแบบนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเกิดจากกระแสน้ำเย็น และกระแสน้ำอุ่นมาปะทะกันเหมือนเช่นที่บาหลีเท่านั้น หากยังมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดรูปแบบของกระแสน้ำแบบนี้ได้อีกด้วย เช่น กระแสน้ำประจำถิ่น2กระแสมาหมุนปะทะกันเอง หรือรูปแบบของชายฝั่ง เกาะแก่ง และรูปร่างของเปลือกโลกใต้น้ำได้ด้วย
-
การบ้าน และคำถามท้ายบท
1.จะเกิดอะไรขึ้นกับสายพานมหาสมุทร ถ้าโลกร้อนขึ้น และน้ำแข็งที่ขั้วโลกทั้งสองละลาย
2.ในขณะที่คุณกำลังดำน้ำ และเกิดกระแสน้ำที่ปั่นป่วนรุนแรงขึ้นโดยฉับพลัน คุณควรทำเช่นไร
3.Hypothermia คืออะไร ส่งผลต่อนักดำน้ำที่ หลุดหลงหาย อย่างไร
-
-

วันที่ลงบทความ: 2011-08-18 17:10:18

วิชาหนีตาย

-
แรงบันดาลใจ ในงานเขียนนี้ หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับเพื่อนๆนักดำน้ำ
ว่าด้วยเรื่อง วิชาหนีตาย
เขียน เพราะไม่อยากให้กลัว และที่กลัวกันเพราะประเมินไม่ออก อ่านแล้วน่าจะสบายใจขึ้น
ดำน้ำไม่ใช่เรื่องอันตรายถ้าระมัดระวัง และมีการเตรียมการที่ดี แค่อย่าอวดเก่งกับธรรมชาติ
ผมเคารพ และคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาที่วางแผนการดำน้ำ เส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย
สิ่งที่ทำได้ กับทำไม่ได้ ต้องประเมินให้ถูก ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ
ซึ่งหลายครั้งอาจขัดใจนักดำน้ำ แต่เราก็กลับมาภูมิใจทุกครั้งว่าทุกคนสนุก และปลอดภัย
คำถาม แล้วเราจะดำน้ำกันทำไม อันนี้ไม่รู้จริงๆ ต้องถามตัวคุณเอง แต่ผมจะดำอ่ะ
-
ว่าด้วยเรื่องวิชาหนีตาย (ฟังดูน่ากลัวจัง)
เครื่องมือหนีตายทั่วไป มีอะไรกันบ้าง
1.นกหวีด ฟังดูดีแต่ไม่ได้ผลหรอกจะบอกให้ เป่าให้ตายเรือก็ไม่ได้ยิน เพราะเสียงเครื่องเรือ
ระยะห่างที่อยู่ไกล ไร้จุดสะท้อนเสียง และเสียงความวุ่นวายบนเรือที่มุ่นมั่นจะหาเรา
-

2.การทำใจเย็น ลอยคอ รอเรือมารับ คิดว่า เรือคงเห็นเราแล้ว
คุณคิดผิด เรือไม่เห็นคุณหรอกยิ่งถ้า
คลื่นลมแรง หัวคุณก็เท่ากับ ลูกมะพร้าว ร่องรอยไร้ทิศทาง
แย่ล่ะ แล้วจะเอาอะไรมาทำให้เรา ปลอดภัย อยู่ถูกที่ถูกทางกันล่ะทีนี้
-
ใจเย็นๆครับ ค่อยๆอ่าน ค่อยๆคิดตามกันไป
อันดับแรก
ก่อนลงดำน้ำทุกครั้งมองหาทางหนีทีไล่ เมฆฝน คลื่นลม จุดส่ง และจุดรับกลับ
ตกลงกับเรือให้แน่นอน
ประเมินกระแสน้ำทันทีที่ คุณโดดพ้นออกจากเรือ ว่าน้ำไหลไปทางไหนกันแน่
ตรงกับแผนการที่เราวางเอาไว้กับเรือ หรือไม่
-

-
ต่อมา
เส้นทางการดำน้ำของเรา ถูกต้องอิงอยู่กับ เส้นทางที่วางแผนเอาไว้จริงๆหรือไม่
ตราบใดที่คุณอยู่ถูกที่ ถูกทาง มันก็ง่ายสำหรับเรือที่จะรับคุณกลับ
ยิ่งถ้าดำอยู่กับแนวเกาะ หรือ แนวปะการังที่ชัดเจน ยิ่งมั่นใจได้ว่า ไม่หลงออกนอกเส้นทาง
การดำชิดติดเกาะไว้ ฉุกเฉินก็ยังปีนขึ้นเกาะได้ด้วย

-
กรณีคลื่นลมแรง อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากมายคือ ทุ่นสัญญาณ
ฝรั่งเรียก Float หรือ Safety Baloon ก็ตาม
แนะนำว่า เป็นชนิดผ้าเท่านั้นนะครับ แบบที่เป็นพลาสติกมันของเด็กเล่น
ที่จริงไม่ควรผลิตมาเป็น อุปกรณ์ Safety ของมนุษย์ด้วยซ้ำ
-

X OK
-
อุปกรณ์ชิ้นนี้ผมให้เครดิต เต็มที่เลยครับ เพราะมีประโยชน์จริงๆ
เรือมองเห็นได้ง่าย
อย่างน้อยก็ดีกว่าเป่านกหวีด
เราซื้อ Divecom ซื้อ Reg แพงๆกันได้ แต่มีกี่ท่านที่ซื้อ Float เก็บไว้ใน Bcds เสมอ
ยิ่งถ้ามีไฟฉายดีๆ ซักกระบอกก็จะช่วยได้มาก ส่องไปที่เรือ หรือกระพริบให้สัญญาณ
(เวลากลางคืน เอาไฟฉายสอดเข้าไปใน Float จะทำให้ Float เปล่งแสงสีแดงได้อีกด้วย)
-
สุดท้าย ถ้ามันฉุกเฉินจริงๆ
หลุด หลง หาย จำไว้ว่าคุณมีเวลาเหลือประมาณ 3-4 ชั่วโมงก่อนที่ร่างกาย
จะเข้าสู่ภาวะช็อค จากความหนาวเย็น Hypothermia ฉะนั้นใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ด้วยการเตรียมตัวดังนี้
-

-
1.ปลดตะกั่วทิ้งไปเลย เราไม่ใช่แล้วแน่นอน
2.ปลดถังดำน้ำออกไปให้เหลือแต่ เสื้อ Bcd เอาไว้( ฮ.จะดึงตัวคุณง่ายขึ้นถ้าเค้าเจอ)
หรือถ้าไม่ปลดถังทิ้ง ควรปล่อยอากาศออกเกือบหมด Tank จะลอยน้ำได้ ช่วยคุณอีกทาง
-

-
3.เก็บหน้ากาก+ท่อหายใจเอาไว้ที่คอเสมอ
4.ถ้าหลงเป็นกลุ่ม ให้เอา สาย Regulator มัดติดกันไว้เป็นแพ
เพื่อเราเพลียเผลอหลับกันไป
5.กอดกันไว้เป็นวงกลม แต่ถ้าอยู่คนเดียว ให้นอนหงาย
(ขยายความ การนอนหงายโดยมี Bcds หนุนหลังเอาไว้ ทำให้หน้าอกพ้นน้ำ
ช่วยให้ร่างกายสูญเสียความร้อนช้าลง)
6.เตรียมตัวเข้าสู่ความมืด การติดไฟฉายไว้เป็นประจำใน Bcds จะช่วยคุณได้มาก
ถ้าให้ดีพกกระจกฉุกเฉินไว้ สะท้อนแสง เรียก เรือ เรียก ฮ. จะดีมากๆๆๆๆๆๆ
ไฟฉาย และกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ในเวลากลางคืน
7.ถ้าโชคดีกระแสน้ำพัดพาไปเจอเกาะ และยังเหลือแรงว่ายเฮือกสุดท้าย
ต้องออกแรงว่ายครับ เพราะถ้าขึ้นเกาะได้
คุณรอดแน่นอน
-

-
ท้ายนี้หวังว่า จะไม่มีใคร ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้นะครับ
แต่ก็อย่างว่า รู้ไว้ใช่ว่า ดีกว่ามั้ยครับ
-

วันที่ลงบทความ: 2011-08-04 20:18:03

ใต้ทะเล

-
ใต้ทะเล ไม่มีดอกไม้ อยากดูต้องขึ้นดอย
พักจากเรื่องการดำน้ำ หลบคลื่นลม มาชมดอกไม้บนผืนโลกกันบ้าง
ช่วงที่เรียนหนังสือ ผมมีโอกาสเข้าป่าทำสารคดีอยู่สองสามเรื่อง
หนึ่งในนั้นที่น่าสนใจก็คือเรื่องของ ดอกไม้
-

-
เชื่อกันว่า ดอกไม้ถือกำเนิดขึ้นในโลกก่อนมนุษย์เราซะอีก ในราวยุคครีเตเชียส (144-248 ล้านปีก่อน)
วิวัฒนาการของต้นไม้มีมาก่อนหน้านั้นอีก ตั้งแต่ในยุคเพอร์เมียน ต้นไม้ยังไม่มีดอก
และในช่วงเวลาที่มีความสำคัญยิ่งกับชีวิตบนผืนโลกคือราว 200ล้านปีที่แล้ว พืชพัฒนาการสืบพันธุ์
วิวัฒนาการจนกระทั่ง เกิดกลุ่มพืชที่มีดอกขึ้นครั้งแรก โลกที่เรารู้จักจึงมีสีสันขึ้น นับจากยุคนั้น
-

-
แต่ในวันนี้ ผมไม่ได้มาให้ความรู้เรื่องพันธุ์พืชนะครับ แต่จะพาเข้าป่าแต่ละแห่งของเมืองไทย
พาไปดูของหายากน้องๆฉลามวาฬ ไปดูของแปลก เปลี่ยนบรรยากาศจากใต้ท้องทะเลกันบ้าง
-
1.ดอยหลวงเชียงดาว
-

-
เทียนนกแก้วจัดเป็นไฮไลท์ของที่นี่ ดอยเชียงดาวเป็นเทือกเขาหินปูนสูง 2,225 เมตรจากระดับน้ำทะเล
อากาศหนาวเย็นตลอดปี เป็นแหล่งดูนก และเดินป่าได้อีกด้วย
-
2.ดอนหม่อนจอง
-

-
ขนุนดิน กุหลาบพันปี และประทัดดอย คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการมาชื่นชม
บนดอยม่อนจองแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ครับ
-
3.ภูหินร่องกล้า
-

-
อยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ เลย เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก
ภูหินร่องกล้าเป็นถิ่นที่อยู่ของ
เอื้องลิ้นมังกร ต้นเปราะหิน และต้นตาเหินไหว
ด้วยแนวเทือกเขาที่สลับซับซ้อน ยากแก่การเข้าถึง
-
4.ภูหลวง
-

-
ครั่งแสด และหนวดพราหมณ์ภู คือพืชในตระกูลกล้วยไม้ป่า
บนดอยภูหลวง ตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างภาคเหนือ และภาคอีสาน มีลักษณะเป็น
ป่าดิบชื้น จึงเหมาะกับพันธุ์พืชสกุลกล้วยไม้อย่างมาก
-
5.ภูจองนายอย
-

-
แดงอุบล และต้นหยาดน้ำค้าง จะขึ้นอยู่บนป่าต้นน้ำ ของลำน้ำมูล
จัดเป็นของหายากสำหรับผู้ที่ต้องการชม ด้วยลมหนาว และความชื้นที่พอเหมาะ
ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ ผลงานชั้นครู ไว้ประดับบนผืนโลก
-
พันธุ์พืชหลายชนิดที่นำมาให้ชมกัน มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น
และต้องบุกป่า ฝ่าดงกันเข้าไปเป็นวันๆ
หวังว่าคงช่วยผ่อนคลายสายตา หลบจากคลื่นลมทะเลที่ขุ่นมัวในช่วงเวลานี้ได้นะครับ
-

วันที่ลงบทความ: 2011-08-03 07:40:19


กฏ 10 ข้อ

-
การเตรียมตัวก่อนออกทริปดำน้ำ
ไม่ว่าในหรือนอกประเทศ เล็กๆน้อย แต่สำคัญยิ่ง สำหรับการเตรียมตัวไปดำน้ำครับ
-

-
1. เตรียมสุขภาพร่ายกายให้พร้อม ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เพราะกีฬาดำน้ำต้องการความฟิตพอสมควร
2. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ทั้งก่อน และระหว่างการดำน้ำ
เพราะผลจากการดื่ม จะทำให้ร่ายกาย
ตกอยู่ในภาวะขาดน้ำ อ่อนเพลีย และเสี่ยงต่อการเกิดโรค Dcs อย่างยิ่ง
เตือนกันมาก แต่ก็ดื่มกันมาก เพราะเสพติดกันแล้ว
-

-
3. เช็คอุปกรณ์ดำน้ำให้รอบคอบ พร้อมใช้งาน โดยเฉพาะถ้าเป็นของเช่ามา ยิ่งต้องดูให้ดีก่อน
ชีวิตเราเองนะครับ เช่าจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ที่มีการดูแลอย่างดี(ซึ่งตอนนี้หาดีๆยาก)
-

-
4. เตรียม WetSuit ให้พอเหมาะพอดี กับอุณหภูมิของแหล่งดำน้ำที่จะไป
โดยการตรวจสอบล่วงหน้า จากผู้จัดทริป ตัวอย่างเช่น
-

-
ถ้าอุณหภูมิน้ำอยู่ระหว่าง 26-30 องศาเซลเซียส ท่านอาจใช้ เว็ตสูตหนา 3 มิลลิเมตร
แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านั้น เช่น 23-24 องศา ควรใช้เว็ตสูตหนาอย่างน้อย 5 มิลลิเมตร เป็นต้น
-
5. ปฏิบัติตนตามกฏข้อบังคับอย่างเคร่งครัด อย่าอวดเก่งกับธรรมชาติ หลงก็ตั้งสติหากัน 1นาทีใต้น้ำ
ถ้าไม่เจอ ก็ค่อยๆขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างช้าๆ เตรียมอุปกรณ์ให้สัญญาณกับเรือ
และที่ใต้น้ำ อย่าดำไปชนเค้า อย่าให้เค้าชนเรา และอย่าเป็นเหตุให้เค้าดำชนกัน ฝึกเป็นมารยาทที่ดี
เมื่อจบการดำน้ำ DiveLead ขึ้น และเรียกให้ขึ้นสู่ผิวน้ำแล้ว
ก็ต้องขึ้นทันที อย่ารู้มาก ดำตามมาใต้น้ำ คุณจะเข้าใบจักรเรือโดยไม่รู้ตัว
ยกเว้นบางกรณีที่เรือจอดผูกทุ่นดับเครื่องยนต์ หรือคลื่นลมบนผิวน้ำรุนแรง Lead อาจพาคุณดำมาใต้น้ำ
เพื่อที่จะขึ้นที่ท้ายเรือเลยก็ได้ แล้วแต่กรณี
-
6. ไม่ดำน้ำนานเกินกว่าที่กำหนด ชีวิตคุณยังอยู่ดำน้ำได้อีกนาน
อย่าทำเหมือน Dive นั้นเป็น Dive สุดท้ายของชีวิตแล้ว เอาให้คุ้ม ถ่ายรูปเล่นกันต่อ
สุดท้ายมันจะไม่คุ้มกันเลยครับ

-
7. ควรทำ Safety stop ทุกครั้ง ที่ดำน้ำลึกเกินกว่า 18 เมตร หรือที่จริง ฝึกทำให้เป็นนิสัยประจำเลย
กับการดำน้ำทุกๆครั้งจะดีมากๆ Safety stop มีประโยชน์มากมาย
ช่วยผลักดัน ไนโตรเจนส่วนเกิน ออกไปได้อย่างมาก
หลายท่านที่ดำน้ำลึก ทำ Safety stop นานถึง 5นาทีด้วยซ้ำ(ปกติ 3นาที)
-

-
8. เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ ควรมีแผนปฏิบัติการณ์เตรียมไว้ เบอร์โทรฉุกเฉิน
หน่วยกู้ภัย ออกซิเจนในเรือและวิธีใช้ที่ถูกต้อง
9. วางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบ
การโดยสารเครื่องบินกลับหลังการดำน้ำ ต้องรออย่างน้อย 24ชม.ไปแล้วนะครับ
-
10. สุดท้าย อย่าดำน้ำด้วยความประมาท Dive Leader คนพื้นที่ จะช่วยคุณได้มาก
ชวนคุยสอบถามประวัติความเก๋าของ Dive Lead คุณด้วย
เหมือนกับที่เค้าพยายามประเมิน และชวนคุณคุยเหมือนกัน
ระมัดระวังอุปกรณ์ และความซุกซนของคุณ จะไปโดน และทำร้ายธรรมชาติใต้น้ำ
อย่าจับอะไรทั้งสิ้น อย่ารบกวนเค้าจนเกินงาม ดำแต่พอดี เรารุกรานเค้ามามากพอแล้ว
-

-
หวังว่า ทุกท่านที่ปฏิบัติตามจะดำน้ำด้วย ความสนุก และปลอดภัย
การเตรียมตัวที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วครับ
-

วันที่ลงบทความ: 2011-08-02 08:23:20

Aquarium

-
AQUARIUM
คือสถานแสดงพันธ์สัตว์น้ำ หรือในที่นี้ ผมขอเรียกใหม่ว่า คุกมืด ของปลาทะเล
-

-
ผม ตัดสินใจอยู่นาน ว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือไม่ หลายประเด็นละเอียดอ่อน
แต่ก็อยากจะถ่ายทอดเรื่องราวน่าเศร้าใจเหล่านี้ ในมุมของผม
ธุรกิจ Aquarium เริ่มเข้ามาบูม และเติมโต ในบ้านเราเมื่อประมาณสัก7-8ปีที่แล้ว
โดยนายทุนชาวต่างชาติทั้งสิ้น
ผมเองเคยมีส่วนร่วม ในการเริ่มต้นของธุรกิจประเภทนี้
โดยถูกว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษ ในการฝึกอบรมนักดำน้ำที่จะปฏิบัติงานในอุโมงค์
ด้วยความที่ผมคิดว่า ระบบบำบัดน้ำ และเทคโนโลยีในการเลี้ยงสมัยใหม่
จะทำให้ ปลาทะเลสวยงามเหล่านี้ แหวกว่ายอย่างมีความสุข
ปลอดภัยจากการทำประมงที่รุนแรง ในทะเลจริงๆ
-

-
แต่เปล่าเลย มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยครับ ไม่มีอะไรอย่างที่ผมคิด
3 เดือนผ่านไป หลายร้อย หลายพัน ชีวิตต้องลาจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆ
ผมพยายามคิดในแง่ดีมาตลอด จากคำอ้างของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นชาวต่างชาติบ้าง คนไทยบ้าง ว่า
"ระบบมันยังไม่นิ่ง เดี๋ยวก็ ดีขึ้น "
-
-
-
ทุกๆเช้า ก่อนเปิดให้บริการ จะมีนักดำน้ำเข้าเวร ลงเก็บปลาตายจำนวนมาก
และปล่อย ปลาที่ถูกส่งตัวมาใหม่ลงไปแทน
ลูกค้า เสียเงินซื้อตั๋วราคาไม่ถูก เข้าไปชื่นชมโลกใต้น้ำ
เราถูกป้อนข้อมูลเชิงบวก ถูกกระตุ้นด้วยสื่อ ในด้านที่สวยงามอยู่ตลอดเวลา
เม็ดเงินเหล่านี้ จะกลายเป็น เงินกำไร เงินเดือนพนักงาน เงินสำหรับซื้อปลามาปล่อยใหม่
ส่งเสริมให้มีการลักลอบจับปลาทะเลสวยงาม ตามแนวปะการังเป็นจำนวนมาก
ธุรกิจค้าปลาทะเล เติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัว
ไทย และมาเลเซีย ขึ้นอันดับ เป็นผู้ลักลอบค้ารายใหญ่ของโลก ในการจัดส่งปลาไปยุโรปด้วย
-

-
เช้ าวันนึง เมื่อหลายๆปีก่อน ผมตื่นขึ้นมา แล้วเดินทางมาถึงบริษัท Aquarium ที่ทำงาน
อากาศสดใส ในยามเช้า ผมเดินสำรวจไปรอบๆ เพื่อดูความเรียบร้อย
ที่ตู้ปลาการ์ตูน ลูกปลาตัวนึง พยายามออกแรงว่ายน้ำ เพื่อจะหนีออกจากแรงดูดของหัวปั๊มกรองน้ำ
เค้าดูอ่อนแรงมาก คงไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ลูกปลาถอดใจ ปล่อยให้ตัวเองถูกดูดติดอยู่กับ
หัวกรองน้ำนั้น และก่อนที่ผมจะทำอะไรได้ทัน เค้าก็ตายซะแล้ว
คุณอาจคิดว่า นี่ก็แค่ชีวิตเล็กๆบนโลกเท่านั้น ใช่มั้ยครับ ผมยืนสลด ยอมรับว่าน้ำตาซึมเลย
(ผมไม่ได้ ดราม่านะครับ) ผมตัดสินใจได้ทันที เดินไปลาออกกับผู้จัดการซึ่งเป็นชาวต่างชาติ
เนื่องจากสัญญาจ้างที่เป็นแบบพิเศษของผมยังไม่หมดลง
กับคำถามว่า เหตุผลที่ ยูจะไปคืออะไร ผมตอบไปว่า
"ไม่อยากให้เงินเดือนที่ปรึกษาของผม ต้องแลกมากับชีวิตเล็กๆแบบนี้"
วันไหนก็ตาม
ที่ ยู พิสูจน์ได้ว่า Aquarium ไหนก็ได้ในโลก ที่เลี้ยงปลาทะเลแล้วรอด
วันนั้น ไอ จะกลับมาขอโทษ ยู ที่พูดแบบนี้
-
จากวันนั้น ผมพยายามค้นหา ศึกษาในสิ่งที่ผมไม่รู้
ระบบนิเวศวิทยาในทะเลเป็นระบบที่ใหญ่มาก มีตัวแปรมากมาย เกินว่าที่มนุษย์เราจะควบคุมได้
เช่น กระแสน้ำ ความมืดความสว่าง ความเค็ม สารอาหารในน้ำ ถิ่นที่เหมาะสมกับสายพันธุ์
ทุกๆตัวแปรต้องสัมพันธ์กันหมด ซึ่งหมายถึงความอยู่รอดของชีวิต
แต่ปลาทะเลใน Aquarium ต้องกินกันเองเพื่อความอยู่รอด จากความหิว
อาหารที่เราให้ไม่มีความหลากหลายพอ
เป็นอาหารเชิงเดี่ยว ก็คือ เนื้อปลาข้างเหลืองซะเป็นส่วนมาก บางวันกลายเป็น
ผักกาดขาว ครับ ผักกาดขาว คุณอ่านไม่ผิด เพราะมันถูก และหาซื้อง่าย
ปลาจึงอ่อนแอลงทุกวัน ไอ้ที่อยู่รอดจริงๆ ก็ประเภท เดนคุก กินพวกเดียวกันเอง
กฏหมายไทย ระบุชัดเจน ห้ามครอบครองปะการัง แต่อนุญาตให้เลี้ยงปลาได้
โชคดี คือ ปะการังใน Aquarium เป็นของปลอม
โชคร้าย คือ ปลาทะเลจะอยู่รอดได้ ด้วยการอิงอาศัยกับ ปะการังจริงๆเท่านั้น

ถึงวันนี้ ปลาทะเลสวยงามของเราถูกลักลอบจับออกจากแนวปะการังของอุทยานแห่งชาติ
มาโชว์ตัวอยู่ในเมือง กันจนจะหมดทะเลแล้ว สายเกินไป สำหรับการลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ของผม
แต่จะรู้สึกผิดยิ่งกว่า ถ้าไม่กล้าเขียน ไม่กล้าเล่าให้ฟัง ผมจะรู้สึกผิดต่อลูกปลาการ์ตูน ตัวนั้น
-

-

วันที่ลงบทความ: 2011-07-20 11:05:22


สึนามิ

สึนามิ 2547 บันทึกจากความทรงจำ ของผมเอง
-

-
ผมตั้งใจ เขียนบันทึกนี้เก็บไว้ทันทีหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ พิบัติภัย สึนามิในปี 2547
เพื่อเก็บไว้เป็น Time Capsule สำหรับตัวเอง และเพื่อเตือนใจว่า "ชีวิตนี้สั้นนัก"
ผมลำดับเหตุการณ์ ตามวันเวลาจริงที่ได้บันทึกไว้ ในครั้งนั้น
จุดที่ผมอยู่ คือ อ่าวต้นไทร-ไร่เลย์ (อ่าวนาง-กระบี่)
ทุกเวลาและนาที ผมกะประมาณ จากการวิ่งไปดูนาฬิกาบนข้อมือไปด้วย
-
25/12/47 23.00 น. ผมเข้านอน เหตุการณ์ปกติ
26/12/47 09.20 น. ทะเลเรียบ อากาศดีมาก สามารถมองเห็นหมูเกาะ พีพี ได้
10.30 น. ฝรั่งที่เป็นลูกค้า 2ท่านสุดท้าย เดินมาถึงที่หน้าร้าน
10.50 น. โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น เพื่อนคนนึงของผมที่อยู่บนเกาะ พีพี
พยายาม โทรเข้ามาให้หนี แต่สายขาดไปก่อนจะพูดกันรู้เรื่อง
ผมคิดว่าเค้าโทรมาแกล้งอำเล่นว่า "เกาะพีพี ถล่มหมดแล้ว"
แต่สายตาผมก็จ้องมองออกไปที่ทะเล ก็ยังไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ
(ไม่มีใครทราบว่า เมื่อตอนเช้ามืด มีแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา)
-

อ่าวต้นไทร-ไร่เลย์ที่ผมอยู่
-
11.05 น. เรือหางยาวลำหนึ่งที่รับนักท่องเที่ยวจากอ่าวนาง เลี้ยวเข้ามาในอ่าว
ทันใดนั้น น้ำทะเลก็ลดแห้งหายไปในทันที ทำให้หัวเรือหางยาว
ปักลงบนหินหน้าร้าน น้ำแห้งหายไปประมาณ 2 เมตรได้
ทุกคนแปลกใจ แต่ผมคิดว่ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
และพยายามตะโกนบอกให้ทุกคนขึ้นจากทะเล และหนีขึ้นเขา
11.17 น. ผมหมุนตัวกลับไปดูเรือของผมที่จอดอยู่ไกลๆหน้าอ่าว
เห็นกัปตันเรือผมเอง พยามยาม ใช้ขวานสับเชือกสมอให้ขาด
เนื่องจากเชือกตึงมาก แกะไม่ออก และมองเห็นเรือใบ ของฝรั่ง
อีกสองลำพยายามวิ่งตามเรือผมออกไปในทะเลลึก
11.21 น. ที่เส้นขอบฟ้า กำแพงน้ำสีขาวยาวตลอดแนว สูงประมาณ 20 เมตร
(ผมประมาณเอาจากช่วงที่เรือของผม พยายามแล่นข้ามคลื่นยักษ์
ลูกที่สอง ซึ่งเป็นลูกที่ใหญ่ที่สุดจากจำนวน 5ลูก เรือผมยาว 12เมตร
หัวชี้ฟ้า ท้ายเรือยังอยู่ห่างจาก ท้องคลื่นอีกราว 8-10 ม.)
กำแพงน้ำวิ่งเข้าปะทะกระแทกเกาะปอดะ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวที่สุด
เท่าที่เคยได้ยินมาในชีวิตนี้
ทุกคนหยุดวิ่ง แล้วหันกลับไปตามเสียง มองด้วยความตะลึง
-

เกาะปอดะ ด้านที่หันไปทางทะเลแหวก
-
11.22 น กำแพงน้ำขนาดยักษ์ข้ามเกาะปอดะ วิ่งเข้าหาฝั่งด้วยความเร็ว
กัปตันเหน่ง บนเรือของผม พยายามเอาเรือข้ามคลื่นยักษ์ออกไปได้
หลายลำ ข้ามพ้นออกไปได้ แต่อีกหลายลำจมหายไปทันที
ในเวลาใกล้เคียงกัน ผมหันหลังกลับมาตะโกนสุดเสียง
ในทุกภาษาที่นึกออก " Go/วิ่ง/Move"
11.25 น. ครูหมึกพาฝรั่งวิ่งไปผิดทาง ตะโกน"เฮ้ย" แล้ววิ่งย้อนกลับมาทางผม
11.28 น. น้ำทะเลทะลักขึ้นมา ถึงหน้าแข้ง แต่เราคิดว่า คงรอด
เพราะวิ่งมาถึงเชิงเขาแล้ว
11.38 น. เหตุการณ์เริ่มนิ่ง น้ำทะเลเริ่มขยับขึ้น-ลง กระเพื่อมเป็นจังหวะช้าๆ
11.45 น. กองกำลังของเรา เริ่มกลับลงมาสำรวจหน้าหาด
ฝรั่งคนนึงโดยกระจกบาด เลือดออกมาก เราจึงช่วยกันห้ามเลือด
12.05 น. ทุกคนที่รอด พยายามค้นหา และสำรวจความเสียหาย
13.20 น. 3 ศพบนเรือใบ ลอยเข้ามาติดที่หน้าอ่าว พร้อมกับลังเบียร์ใบใหญ่
14.00 น. ทหารเรือ กับเรือยางเป็นกู้ภัยชุดแรกที่พยายามเข้ามาหาเรา
17.30 น. ฝรั่ง-ไทย-จีน-เขมร-พม่า เอาทุกอย่างที่กินได้มารวมกัน
ประเมินว่า อยู่ได้อีก 2วัน
18.00 น. โทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียวของผม ที่รอดมาได้ ดังขึ้น
พี่ที่รู้จักกัน โทรมาจาก BBC NEWS London ถามว่า
"เป็นอะไรมั้ย" BBC ภาคภาษาไทยกำลังออกอากาศสดอยู่
ให้สัมภาษณ์ไหวมั้ย ผมตอบไปว่า "ได้" แต่ในใจคิดว่า
ยังจะสัมภาษณ์กันอีกหรือ
คืนนั้นกว่าจะหลับกันลง ก็เกือบรุ่งเช้าแล้ว
27/12/47 09.20 น. เราตัดสินใจกลับขึ้นกรุงเทพฯ ไปตั้งหลักก่อน
10.00 น. ทะเลกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เรือหางยาว เริ่มออกวิ่งหาคนในทะเล
10.30 น. เรือ อ่าวนางปริสเซส ออกเดินทางมุ่งหน้าไป พีพี
17.30 น. เรือ อ่าวนางปริสเซส กลับมาเทียบท่า พร้อมด้วยศพจำนวนมาก
-


19.00 น. หลังจากที่ติดต่อกับเรือของผมได้ และนำกลับเข้าฝั่งมาอย่างปลอดภัย
เอาไปหาที่จอดหลบลม หลบคลื่นในป่าโกงกางลึกเข้าไปในคลองแล้ว
ผมและคณะ ก็เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์
20.00 น. ตลอดค่ำคืนนั้น รถกู้ภัย จากทั่วประเทศ วิ่งสวนลงไป ไม่ขาดสาย
ยาวหลายร้อยกิโล เป็นภาพที่ยังคงประทับใจอยู่ทุกวันนี้
"คนไทยไม่ทิ้งกัน"
-
2 เดือนผ่านไป ผมมีโอกาสกลับลงไปอีกครั้ง บังเอิญเจอกับ คนขับเรือหางยาวที่คุ้นเคยกันดี
สีหน้าเค้า ไม่ค่อยสู้ดี ผมจึงถามไปว่า "บัง เป็นอะไร" เค้าตอบผมกลับมาว่า
"ลูกไม่สบาย ไม่มีเงินไปหาหมอ ไปขอรับเงินบริจาคช่วยเหลือ ก็เบิกไม่ได้"
ผมถามต่อไปว่า "ไม่มีใครได้เลยหรือ" "ครับ นายหัวไม่มีใครได้เลย"
ทุกวันนี้ ผมยังอดสงสัยอยู่เลยว่า
"เ งินบริจาคก้อนโต ที่เราชาวไทยร่วมด้วยช่วยกัน มันไปอยู่ที่ไหนหมด"
-

เพื่อนชาวแคนนาดาของผม ที่วิ่งหนีตายมาด้วยกัน :ภาพถ่าย จากร้านของผมเองที่กระบี่-อ่าวต้นไทร
-
-
-

วันที่ลงบทความ: 2011-07-17 12:59:43







     
 
what is notes.io
 

Notes.io is a web-based application for taking notes. You can take your notes and share with others people. If you like taking long notes, notes.io is designed for you. To date, over 8,000,000,000 notes created and continuing...

With notes.io;

  • * You can take a note from anywhere and any device with internet connection.
  • * You can share the notes in social platforms (YouTube, Facebook, Twitter, instagram etc.).
  • * You can quickly share your contents without website, blog and e-mail.
  • * You don't need to create any Account to share a note. As you wish you can use quick, easy and best shortened notes with sms, websites, e-mail, or messaging services (WhatsApp, iMessage, Telegram, Signal).
  • * Notes.io has fabulous infrastructure design for a short link and allows you to share the note as an easy and understandable link.

Fast: Notes.io is built for speed and performance. You can take a notes quickly and browse your archive.

Easy: Notes.io doesn’t require installation. Just write and share note!

Short: Notes.io’s url just 8 character. You’ll get shorten link of your note when you want to share. (Ex: notes.io/q )

Free: Notes.io works for 12 years and has been free since the day it was started.


You immediately create your first note and start sharing with the ones you wish. If you want to contact us, you can use the following communication channels;


Email: [email protected]

Twitter: http://twitter.com/notesio

Instagram: http://instagram.com/notes.io

Facebook: http://facebook.com/notesio



Regards;
Notes.io Team

     
 
Shortened Note Link
 
 
Looding Image
 
     
 
Long File
 
 

For written notes was greater than 18KB Unable to shorten.

To be smaller than 18KB, please organize your notes, or sign in.